Month: April 2020

“Customer Centric” ไม่ใช่ “ลูกค้าคือพระเจ้า”

Posted on by Tanatta Koshihadej

 “Customer Centric” หรือ “การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” เป็นคำที่เราได้ยินกันมานาน เพราะเป็นสิ่งที่ไม่ว่าเราจะทำอะไร หากเราตั้งลูกค้าให้เป็นศูนย์กลางแล้ว เราก็จะพัฒนาสิ่งที่ตอบความต้องการของลูกค้า ช่วยให้เรามั่นใจว่าสิ่งที่เรากำลังนำเสนอให้แก่ลูกค้าของเรานั้นจะโดนใจ ตรงความต้องการ จนทำให้เขาเลือกเรา เป็นที่มาที่หลายๆธุรกิจก็มักจะเอามาเป็นที่ตั้งและจุดยึดในการทำงาน

แต่ในการนำมาใช้จริง เราก็มักจะพบว่า หลายๆคนนำคำนี้มาใช้แล้วอาจจะกลายเป็นตกหลุมพรางไปซะได้ เพราะคิดว่าแค่เอาลูกค้าเป็นพระเจ้าก็จบ อยากได้อะไรก็ให้ได้หมด ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นในสำหรับกรณีนี้

วันนี้เดียจึงอยากพูดถึง “Customer Centric” โดยอยากมาแชร์ในเรื่องของข้อควรระวัง หรือข้อควรคำนึงถึงก่อนจะใช้คำนี้ในการทำงานกันค่ะ

1
“ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” ไม่เท่ากับ “ลูกค้าคือพระเจ้า”

จริงๆแล้วคำนี้มีคำอธิบายที่ค่อนข้างชัดเจนอยู่ในตัว แต่หากเข้าใจผิดเพียงนิดเดียวก็จะผิดไปได้เลยตรงที่การมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ไม่ใช่ว่าเขาคือศูนย์กลางของจักรวาลและทุกอย่างจะต้องหมุนรอบตัวเขา แต่มันหมายถึง เราเริ่มทุกอย่างจากการเอาลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ยึดเอาไว้เป็นหลัก และค่อยๆขยายไปเข้าใจทุกอย่างรอบๆตัวเขาด้วย เช่น สิ่งที่มีอิทธิพลต่างๆรอบตัวเขา ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจ พฤติกรรม ประสบการณ์ สถานการณ์ต่างๆที่มีผลเกี่ยวข้องทั้งหมด ทำให้เราเข้าใจลูกค้ามากกว่าแค่ว่าเขาบอกอยากได้อันนี้ไม่ชอบสิ่งนั้น แต่ไปเข้าใจว่าเพราะอะไร ทำไม เมื่อเราเข้าใจสาเหตุแล้ว ก็เหมือนเราเข้าใจปัญหาที่แท้จริง เจอโจทย์ที่ถูกต้อง ดังนั้นการแก้ปัญหาก็เหมือนถูกแก้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง

“ลูกค้าเป็นศูนย์กลาง” คำว่า “ศูนย์กลาง” ในที่นี้ ไม่ใช่ “ศูนย์กลางจักรวาล”
แต่เป็นศูนย์กลางที่ต้องยึดเอาไว้ คำนึงถึงเสมอว่าสุดท้ายแล้วเราทำไปเพื่อใคร

2
ต้องมีศิลปะในการทำความเข้าใจ

หลายคนไปทำความเข้าใจโดยการพูดคุยและ “ถาม” ซึ่งไม่ผิดเลยนะคะ แต่ถ้า “ถามแบบชี้นำ” อันนี้ไม่ดีแน่ค่ะ รวมถึงคำถามอีกประเภทที่ไม่ควรถามเลยคือ “ถ้ามี…ดีมั๊ยคะ?” เพราะ 90% จะตอบว่าดีหมดค่ะ และเราก็จะทำตามลูกค้าบอกทุกอย่างเพราะเราคิดว่านี่คือการที่เรากำลังมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ซึ่งมันไม่ใช่!!!

มีคนเคยมาปรึกษาว่าลงทุนเพิ่ม zone ขายกาแฟเข้ามาในพื้นที่เดิม เพราะไปถามลูกค้า ทุกคนบอกว่าถ้ามีก็จะดี เลยตัดสินใจทำขึ้นมา ปรากฎว่าไม่มีคนซื้อเลยซักคนเดียว กลุ้มใจมากๆ ทำไมลูกค้าบอกว่าอยากให้มีกันหมด แต่พอมีก็ไม่ซื้อ สืบไปสืบมาวิธีการถามของคุณเค้าคือ การเข้าไปนั่งคุยกับลูกค้าทุกคน และถามว่าถ้าตรงนี้มีร้านกาแฟจะดีมั๊ย…ทุกคนตอบว่าดีหมด (แต่ไม่ได้ถามว่าจะซื้อมั๊ย? อย่างน้อยถ้ามีไอเดียแล้วอยากรู้จริงๆ เปลี่ยนคำถามจาก “ดีมั๊ยคะ” เป็น “จะซื้อมั๊ยคะ?” ก็ยังดี)

การไปเข้าใจลูกค้าว่าอยากได้อะไรนั้นมันต้องมีความแยบยล และต้องอาศัยการวางแผนและการวิเคราะห์ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ article “หา insight อย่างไร ให้ได้ insights” จริงๆ) ต้องมีศิลปะและชั้นเชิงในการได้ข้อมูลที่เป็นสิ่งที่เขาต้องการจริงๆออกมาให้ได้

3
หา “ลูกค้าตัวจริง” ให้เจอ

การหาลูกค้าที่เป็นลูกค้าเราอยู่แล้วไม่ใช่เรื่องยากเท่าไรนัก

ถ้าเราเลือกลูกค้าผิดคน ก็ผิดตั้งแต่เริ่ม

แต่จะมีบางกรณีสำหรับบางธุรกิจที่พิเศษกว่าการที่เราเห็นลูกค้าตัวจริงของเราอยู่แล้ว คือ
ของที่คนใช้ไม่ได้ซื้อคนซื้อไม่ได้ใช้ เช่น เรื่องเล็กๆอย่างของฝาก หรือเรื่องใหญ่ๆอย่างอสังหาริมทรัพย์ เราต้องเห็นก่อนว่าลูกค้าของเราไม่ได้มีเพียงแค่คนเดียว แต่มีทั้งคนจ่ายเงินซื้อให้ และคนใช้จริงๆ ซึ่งในกรณีนี้เราต้องไปเข้าใจทั้งสองคนรวมถึงเข้าใจปัจจัยที่ส่งผลระหว่างกันให้ได้อีกด้วย
ธุรกิจที่ยังไม่เคยมี user หรือลูกค้ามาก่อน หากเป็นประเภทธุรกิจที่มีอยู่แล้ว เช่น จะเปิดร้านกาแฟใหม่ ไม่ใช่เรื่องยาก เพราะเราสามารถไปเข้าใจลูกค้าของคนอื่นได้ แต่ถ้าเป็นธุรกิจใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน เป็นไอเดียใหม่ อันนี้เราต้องตั้งสมมติฐานเพื่อหา potential user ให้ได้ เพื่อเก็บข้อมูลหรือ test idea ของเราก่อน โดยอาจจะหาได้จากการเทียบเคียงว่าธุรกิจของเราจะไปดึงเอาลูกค้าจากธุรกิจเดิมของใครที่มีอยู่มาบ้าง

Customer  Centric เป็นเรื่องที่สำคัญมากมาโดยตลอด และจะยิ่งทวีความสำคัญขึ้นไปอีกในอนาคตที่ไม่มีใครรู้ว่าพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าเราจะเปลี่ยนไปทางไหน ถึงแม้ตอนนี้ทุกคนอาจจะบอกว่า cash flow หรือ liquidity นั้นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่มีเวลาจะไปเข้าใจลูกค้าแล้ว เอาตัวเองให้รอดก่อนก็ตาม วันที่ทุกอย่างค่อยๆกลับสู่สภาวะปกติ วันนั้นจะเป็นวันที่คุณอาจจะพบว่าคนที่เคยเป็นลูกค้าที่เราเคยเข้าใจ วันนี้ทำไมพวกเขากลับเปลี่ยนไปซะแล้ว

Designer ในบทบาทต่างๆควรจะปรับตัวเองอย่างไรในยุคต่อไป

Posted on by Tanatta Koshihadej

Designer ทั้งหลาย อาจกังวลว่าโลกหลังยุคโควิด ถ้าเศรษฐกิจตกต่ำสุดๆแล้ว อาชีพนักออกแบบจะยังอยู่รอดหรือไม่ และจะต้องปรับตัวอย่างไรดี

หากแบ่งตามความถนัดแล้ว นักออกแบบมีหลายประเภท นักออกแบบกราฟฟิก นักวาดภาพประกอบ นักออกแบบบรรจุภัณฑ์ นักออกแบบผลิตภัณฑ์ เหมือนกับที่เราแบ่งความเฉพาะทางของหมอว่ามี ทันตแพทย์ จักษุแพทย์ แพทย์ผิวหนัง แพทย์เสริมความงาม ซึ่งวิธีการแบ่งเหล่านี้ก็มักจะเป็นวิธีการแบ่งของวิชาชีพที่มีความเฉพาะทาง แตกต่างจากบางสายอาชีพเช่น นักการตลาด นักบริหาร ที่จะแบ่งตามโครงสร้างของธุรกิจที่จะเข้าไปดูแลจัดการในส่วนใดๆขององค์กร เช่น บริหารฝ่ายการตลาด ฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ และอื่นๆ

นักออกแบบ เมื่อเรียนจบมาเข้าสู่การทำงาน เราจะต้องถูกแบ่งการทำงานในทั้งสองมิติ คือ แบ่งตามสายอาชีพของนักออกแบบ และที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเราไปรับบทบาทใดในองค์กรหรือธุรกิจที่เราเข้าไปทำงานด้วย

วันนี้เดียอยากชวนคิดเรื่องสิ่งที่จะกระทบต่อ designer ที่ไม่ใช่ในมุมของสายอาชีพเฉพาะทาง เพราะเรื่องนั้นมีคนถกกันแล้วมากมาย แต่อยากมาชวนคิดในอีกมิติหนึ่ง คือมิติของบทบาทการเป็นนักออกแบบในการเข้าไปอยู่ในธุรกิจต่างๆ ในสภาวะหลังจากนี้ว่าบทบาทเราจะเปลี่ยนไปหรือไม่ และมี challenge อะไรบ้างสำหรับแต่ละบทบาทที่ต่างกันไป

หน้าที่ของนักออกแบบคือการใช้การออกแบบเข้าไปช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขัน (competency) ให้แก่ธุรกิจต่างๆ โดยเดียขอแบ่งออกเป็น 4 บทบาทใหญ่ๆคือ


นักออกแบบเพื่อการสื่อสาร
นักแบบกลุ่มนี้มีหน้าที่ในการออกแบบการสื่อสารเพื่อ “ดึงดูด” ให้คนมาเป็นลูกค้า ไม่ว่าจะด้วยความสวยงามหรือความคิดสร้างสรรค์ต่างๆ ส่วนใหญ่การทำงานจะทำงานร่วมกับแผนก marketing ของบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะทำ PR หรือ branding เพื่อการสื่อสาร มันจะต้องสวยงาม หรือมีวิธีการที่สร้างสรรค์ในการดึงดูดให้คนสนใจและสื่อสารความเป็น brand นั้นๆออกมาให้ได้

ในยุคนี้นอกจากการใช้ “ความสวยงาม” ในการดึงดูดให้คนสนใจ กลายเป็น default (สิ่งจำเป็นพื้นฐาน) ที่ทุก brand ต้องมีอยู่แล้ว designer ผู้สวมบทบาทตรงนี้ยังต้องช่วย “สื่อสาร” brand นั้นๆให้ได้และให้ได้อย่างน่าสนใจด้วยวิธีใดก็ตาม ให้ตรงกับสิ่งที่ลูกค้าอยากฟังและอยากเห็นจาก brand นั้นๆ อีกด้วย

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ลูกค้าไม่ได้คาดหวังเพียงแค่ที่จะเห็น brand ต่างๆในแบบเดิมๆที่เคยทำ แต่เขาอยากเห็นว่า brand ต่างๆที่พวกเขาให้ความวางใจ รับมือ มีการจัดการ มีวิธีการมองปัญหานี้ หรือมีส่วนร่วมในการรับผิดชอบอย่างไรที่มากไปกว่ามุมที่พวกเขาเคยเห็น หากนักออกแบบไม่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงนี้ ไม่สนใจว่าสิ่งที่ผู้คนอยากได้ยินได้เห็นและความคาดหวังจะไม่เหมือนเดิม บทบาทที่เราเคยมีอาจจะกลายเป็นสิ่งที่ไม่เป็นที่ต้องการ และนี่คือสิ่งที่ designer ต้องเข้าใจว่าลูกค้าอยากเห็น brand ของพวกเขาในแบบไหนจึงจะรักษาความสัมพันธ์ให้อยู่ต่อไปได้อย่างยาวนาน เช่นถ้าเราไปออกแบบ event แบบเดิมๆที่ดึงให้คนจำนวนมากไปห้าง คงไม่ดีแน่ นอกจากคนจะไม่อยากไปแล้ว brand นั้นจะถูกมองว่าไร้ความรับผิดชอบต่อส่วนรวมเสียอีกด้วยซ้ำ


นักออกแบบที่ใช้รูปลักษณ์ ความสวยงาม (styling) เข้าไปพัฒนาธุรกิจ
ความสามารถพิเศษของนักออกแบบกลุ่มนี้คือ การทำของให้สวยงาม พวกเขาจะใช้ aesthetic sense ที่พวกเขามีเข้าไปพัฒนาสินค้า เปลี่ยนโฉมให้กับสินค้า brand ต่างๆ ให้มีมูลค่ามากขึ้น ลูกค้าจะยินดีจ่ายให้กับของที่สร้างความรื่นรมย์ให้กับพวกเขาได้ หรือให้คุณค่าทางความรู้สึกได้มากกว่า และนี่ไม่ใช่เพียงแค่ตัวสินค้าที่การออกแบบจะเข้าไปทำให้มันสวยขึ้นจนขายได้ราคาที่มากขึ้น แต่ยังรวมถึงบรรยากาศต่างๆด้วยเช่นกัน เช่น บรรยากาศที่ดี สวยงาม ทำให้คุณสามารถขายกาแฟแก้วละหลายร้อยหรืออาหารจานละเป็นพันได้ นักออกแบบร้านอาหาร คาเฟ่ ไปจนถึง graphic designer ต่างๆคือผู้ส่วนเกี่ยวข้องสำคัญในการสร้าง styling ให้เกิดความแตกต่าง น่าสนใจให้แก่ธุรกิจเหล่านั้น

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จากเดิมเราอาจจะออกแบบเก้าอี้ให้สวยจนสามารถขายได้ในราคาหมื่นกว่าบาท แต่ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ หากคนเราต้องการซื้อเก้าอี้ซักตัว เขาจะเลือกแบบที่สวยที่สุดในราคาที่เขายอมจ่ายเท่านั้น กาารตอบโจทย์ทางความรู้สึกหรือความรุ่มรวยทางอารมณ์ได้ถูกตัดออกไปก่อนเพราะถูกมองว่ามันไม่ใช่สิ่งจำเป็น ดังนั้นนักออกแบบสายนี้ หากไม่ได้ออกแบบของที่ luxury มากเสียจนลูกค้ามีแต่ระดับมหาเศรษฐีที่ยังใช้จ่ายได้อย่างไม่สะทกสะท้าน ก็ต้องรีบไหวตัวแล้วมามองหาว่า value ใหม่ที่คนให้กลายเป็นอะไรแทนความสวยงามหรือ styling แบบเดิมๆที่เราเคยรู้จักนั้นจะเป็นอะไร หรือจะต้องเป็นอย่างไร? หากมันไม่อยู่บนรูปแบบแบบเดิม หากโลกจะย้ายไปอยู่บน online มากขึ้น value ที่คนมองหาจากงานออกแบบจะคืออะไร?
และอีกหนึ่งสิ่งที่ต้องกระโดดเข้ามาเข้าใจให้มากขึ้นไปอีกคือ พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้บริโภคจะทำให้สิ่งที่เคยเป็นหลักการเป็นสิ่งที่ทำตามๆมานั้นมีอะไรบ้างที่จะเปลี่ยนไป เช่น หลักการจัดโต๊ะอาหาร ที่เราคุ้นเคยว่าจะต้องมีระยะห่างประมาณเท่านี้ ใช้พื้นที่เท่านี้ ทุกอย่างจะต้องถูกตีความใหม่ หรือมันจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงไม่ร้านอาหารในแบบเดิมอีกต่อไปแล้วเพราะการเว้นระยะห่างทำให้รายได้หายลงไปตามจำนวนโต๊ะที่หายไปและทำให้ไม่คุ้มการลงทุนแล้ว เราจะมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ หรือต้องเปลี่ยนบทบาทของตัวเองใหม่ ทั้งนี้เราจะรอรับข้อมูลเพื่อทำตามอย่างเดิมไม่ได้อีกต่อไป เราเองจะต้องเป็นคนสร้างวิธีการใหม่ๆขึ้นมาให้ได้ นี่คือ challenge ใหญ่สำหรับนักออกแบบในบทบาทนี้


นักออกแบบที่ใช้กระบวนการคิดทางการออกแบบเข้าไปพัฒนาสินค้าและบริการ
อาจจะไม่ใช่นักออกแบบในนิยามของใครหลายๆคน แต่อีกบทบาทที่สำคัญอีกบทบาทหนึ่งของการออกแบบคือ “การแก้ปัญหา” คือการเอาวิธีคิดวิธีการมองปัญหาและวิธีสร้างสรรค์ทางแก้ปัญหาเข้าไปใช้ในการพัฒนาสินค้าและบริการ เพื่อสร้าง better life, better living, better solution

สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปนี้อาจจะฟังดูเข้าทางกับนักออกแบบสายนี้ ตรงที่เป็นสายที่ต้องแก้ปัญหาเป็นงานหลัก ต้องพัฒนาสิ่งของหรือบริการเพื่อทำให้เกิดคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอยู่แล้ว แต่การทำงานก็จะเปลี่ยนไปอยู่ดี ตรงที่มันจะต้องมีชุดความเข้าใจใหม่เกี่ยวพฤติกรรมของคน สิ่งที่พวกเขากำลังเผชิญและปัญหาต่างๆที่เป็น challenge ใหม่ที่เราก็ไม่คุ้นชินเช่นเดียวกัน การทำงานอาจจะไม่มีเวลาทบทวนหรือทดสอบได้มากเท่าเดิม เพราะทุกอย่างต้องเร็วและสิ่งที่เกิดขึ้นมันใหม่หมด challenge ใหญ่ๆอยู่ตรงที่ปกติการทำงานของนักออกแบบบทบาทนี้จะทำงานที่เป็นทีมพัฒนาจนมั่นใจว่าได้ solution ที่ดีพอ แต่ในเหตุการณ์นี้การบอกว่าดีพอแล้วนั้นยากมากจนต้องใช้การคิดเร็วทำเร็วและทดสอบเลยเข้ามาแทน ดังนั้น “เวลา” ที่ “คิดเร็วทำเร็ว”  คือ challenge ใหญ่สำหรับนักออกแบบในบทบาทนี้


นักออกแบบที่ใช้มุมมองของการออกแบบเข้าไปช่วยออกแบบกลยุทธ์ให้กับธุรกิจต่างๆ
นักออกแบบประเภทที่เราอาจจะไม่รู้ว่ามีเสียด้วยซ้ำ นักออกแบบประเภทนี้จะอยู่ในรูปแบบของที่ปรึกษา โดยใช้ความสามารถในการมองปัญหาที่แตกต่างๆจากนักธุรกิจหรือนักบริหารทั่วไปมองกัน แต่จะใช้ความเป็นนักออกแบบที่เข้าใจ concept ของธุรกิจหรือการบริหารจัดการ จนสามารถนำเสนอวิธีการหรือมุมมองใหม่ๆให้กับคนที่คลุกคลีอยู่ในสายงานนั้นๆจนมองไม่เห็นมุมใหม่ๆหรือมุมที่ไม่เคยมองได้

จากสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป งานหนักของนักออกแบบประเภทนี้ก็คือ ต้องตามธุรกิจให้ทัน และต้องตามวิธีคิดวิธีแก้ปัญหาของธุรกิจนั้นให้ทันอีกด้วย ต้องเข้าใจว่าปัญหาใหญ่ตอนนี้ของลูกค้าเรานั้นเปลี่ยนไป ซึ่งจากเดิมการเงินอาจจะไม่ใช่ปัญหา เขาจึงมีเวลาที่จะมาหามุมมองทางกลยุทธ์ใหม่ๆ แต่ตอนนี้ปัญหาใหญ่ของธุรกิจคือ “cash flow” เราจะเข้าไปเสริมกลยุทธ์ที่มีเป้าหมายระยะสั้นเรื่องกระแสเงินสดเข้ามาแทรกเป็นเรื่องหลักได้อย่างไร เราจะใช้มุมมองของนักออกแบบเข้าไปจัดการเรื่องนี้ได้หรือไม่และอย่างไร
Continue reading “Designer ในบทบาทต่างๆควรจะปรับตัวเองอย่างไรในยุคต่อไป”

Servitization เปลี่ยนธุรกิจขายสินค้าให้เป็นธุรกิจบริการ

Posted on by Tanatta Koshihadej

ถ้าเราขายสินค้าได้ยาก การแข่งขันสูง (ยิ่งในช่วงนี้ และหลังจากนี้) เราลองเปลี่ยนมามองธุรกิจเราให้เป็นธุรกิจสินค้าและบริการดูบ้างดีไหม?
Continue reading “Servitization เปลี่ยนธุรกิจขายสินค้าให้เป็นธุรกิจบริการ”

Subscription โมเดลเก่าที่อาจกลับมาบูมช่วง post-covid19

Posted on by Tanatta Koshihadej

“Subscription” คืออะไร? ถ้าให้แปลตามพจนานุกรม มันจะแปลว่า “ระบบสมัครสมาชิก” แต่ในความหมายที่อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่าคือ การที่เราจ่ายรายสัปดาห์ รายเดือนหรือรายปี เพื่อผูกการซื้อสินค้าหรือบริการใดๆจากผู้ขาย
Continue reading “Subscription โมเดลเก่าที่อาจกลับมาบูมช่วง post-covid19”

Future Scenario ทักษะที่แสนจำเป็นแต่ทำไมเราไม่ได้เรียน

Posted on by Tanatta Koshihadej

ทักษะ “การมองอนาคต” เป็นสิ่งที่ต้องใช้ในทุกสาขาอาชีพไม่ว่าคุณจะทำอะไร มันคือการคาดเดาเพื่อทั้งเตรียมพร้อมรับมือ หรือวางแผนเพื่อนำพาให้เราไปข้างหน้า ไปได้ไกลกว่าคู่แข่งเราที่แข่งกันอยู่แค่ที่ในปัจจุบัน

วิชาหรือทักษะนี้เดียยอมรับว่าเพิ่งจะตระหนักถึงเมื่อตอนได้ไปเรียนต่อเมื่อ 10 ปีมานี้เอง ก่อนหน้านี้ไม่เคยมี ความตระหนักนี้เกิดขึ้นกับตัวเองมาก่อนเลย แม้จะเรียนการออกแบบมาก็ตามที
Continue reading “Future Scenario ทักษะที่แสนจำเป็นแต่ทำไมเราไม่ได้เรียน”

“บ้านฮาวด์” Greyhound เปิดแบรนด์ใหม่เอาใจคนอยู่บ้านโดยเฉพาะ

Posted on by Tanatta Koshihadej

ช่วง Shock ขั้นแรก จากวิกฤติ Covid-19 กับธุรกิจต่างๆเริ่มกำลังจะผ่านไป เรากำลังจะเห็นผลลัพธ์จากบางธุรกิจที่ผ่านการใช้เวลาช่วงแรกในการตั้งรับปรับตัว

ในช่วงของการปรับตัวเราเห็นร้านอาหารมากมายกระโดดเข้ามาในบริการ ​Delivery ซึ่งน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องอย่างไม่ต้องสงสัย แต่เราจะจัดการ delivery อย่างไรให้ดึงดูด ให้ตอบความต้องการของลูกค้าให้ได้ เราต้องเข้าใจก่อนว่า รสชาติที่ส่งไปนั้น มันจะต้อง drop ลงอย่างแน่นอน และบรรยากาศรวมถึงภาพลักษณ์ของอาหารก็จะ drop ตามกันไปหมด หลายๆร้านจึงออกตัวด้วยการ “ลดราคา” เพื่อช่วยทั้งตอบโจทย์การแข่งขัน และเพือชดเชยกับทั้งรสชาติและบรรยากาศ ประสบการณ์ที่มาที่ร้าน

เราจะเห็นเจ้าที่ขายดีเทน้ำเทท่า เพราะสร้างกลยุทธ์การลดราคาได้น่าสนใจ แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าการเอาเมนูที่ขายในร้านมาลดกระหน่ำนั้น จะส่งผลต่อภาพลักษณ์ของร้านต่อไปในช่วง post Covid-19 หรือไม่ อย่างไร

Continue reading ““บ้านฮาวด์” Greyhound เปิดแบรนด์ใหม่เอาใจคนอยู่บ้านโดยเฉพาะ”

เปิดประสบการณ์ British Museum With Google

Posted on by Tanatta Koshihadej

ถ้าจะทำ online museum ต้องทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีกว่ามาชดเชยการที่ไม่ได้ไปเดินอยู่ในสถานที่จริงให้ได้ และ British Museum สร้างประสบการณ์นั้นได้อย่างดีเยี่ยมอย่างไรเดี๋ยวจะแชร์ให้ฟัง…
Continue reading “เปิดประสบการณ์ British Museum With Google”

ต่อไปนี้ “Communication” จะเป็นศาสตร์ที่จำเป็นอย่างมาก(กว่าเดิม)

Posted on by Tanatta Koshihadej

การสื่อสารไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับพวกเรา แต่การสื่อสารในยุคต่อไปเป็นการสื่อสารในแบบใหม่สำหรับพวกเราทุกคน ทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ



Continue reading “ต่อไปนี้ “Communication” จะเป็นศาสตร์ที่จำเป็นอย่างมาก(กว่าเดิม)”

3 Thinking Skills ที่จะทำให้การใช้ design thinking ของคุณเวิร์ค(ซะที)

Posted on by Tanatta Koshihadej

หากมีคนมาถามเดียว่า “คุณคิดว่าอะไรสำคัญที่สุดของ Design Thinking”
เดียจะตอบว่ามันคือ thinking skills อันประกอบไปด้วย Continue reading “3 Thinking Skills ที่จะทำให้การใช้ design thinking ของคุณเวิร์ค(ซะที)”